วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

7สิ่งมัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ

7สิ่งมัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ


1.พีระมิดคูฟู


              พีระมิดคูฟู หรือ พีระมิดคีออปส์ นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า มหาพีระมิดแห่งกีซา (อังกฤษThe Great Pyramid of Giza) เป็น พีระมิดในประเทศอียิปต์ที่มีความใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุด ในหมู่พีระมิดทั้งสามแห่งกีซา เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัย ฟาโรห์คูฟู (Khufu) แห่ง ราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งปกครองอียิปต์โบราณ เมื่อประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล หรือกว่า 4,600 ปีมาแล้ว เพื่อใช้เป็นที่เก็บรักษาพระศพ ไว้รอการกลับคืนชีพ ตามความเชื่อของชาวอียิปต์ในยุคนั้น มหาพีระมิดนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และเป็นหนึ่งเดียว ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ ที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน


 ขนาด และรูปทรงของพีระมิด
          
           เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จในสมัยของฟาโรห์คูฟู มหาพีระมิด มีความสูงถึง 147 เมตร (481 ฟุต หรือประมาณเท่ากับอาคารสูง 40 ชั้น เมื่อคิดความสูงที่ชั้นละ 3.5 เมตร) นับจากก่อสร้างแล้วเสร็จ พีระมิดคูฟูนับเป็นสิ่งก่อสร้างสูงที่สุดในโลก เป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานถึง 43 ศตวรรษ จนกระทั่ง มีการก่อสร้าง มหาวิหารลินคอล์น(Lincoln Cathedral) ที่ ประเทศอังกฤษ ซึ่งมียอดวิหารสูง 160 เมตร ในปี พ.ศ. 1843 (ค.ศ. 1300) ซึ่งต่อมายอดวิหารนี้ถูกพายุทำลายในปี พ.ศ. 2092 (ค.ศ. 1549) แต่ขณะนั้นส่วนยอดพีระมิดคูฟูก็สึกกร่อนลงจนมีความสูงไม่ถึง 140 เมตร ทำให้ วิหารเซนต์โอลาฟ (St. Olav's Church) ในประเทศเอสโตเนีย ซึ่งเพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2062 (ค.ศ. 1519) กลายเป็นสิ่งก่อสร้างสูงที่สุดในโลกด้วยความสูงของยอดวิหาร 159 เมตร ปัจจุบันมหาพีระมิดมีความสูง ประมาณ 137 เมตร ซึ่งต่ำกว่าเมื่อแรกสร้างประมาณ 10 เมตร และรัฐบาลอียิปต์ได้ดำเนินการติดตั้ง โครงโลหะเพื่อแสดงถึงความสูงที่แท้จริง ขณะก่อสร้างแล้วเสร็จ ไว้ที่ส่วนยอดของ มหาพีระมิดคูฟู
รูปทรงของพีระมิดมีลักษณะเฉพาะตัว ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ประกอบด้วยด้านสามเหลี่ยม 4 ด้าน ยอดสามเหลี่ยมแต่ละด้าน เอียงเข้าบรรจบกัน เป็นยอดแหลม ฐานทั้ง 4 ด้านของพีระมิด กว้างด้านละประมาณ 230 เมตร (756 ฟุต กว้างกว่า สนามฟุตบอล ต่อกัน 2 สนาม) คิดเป็นพื้นที่ฐานประมาณ 53,000 ตารางเมตรหรือประมาณ 33 ไร่ ฐานล่างสุดของพีระมิด ก่อขึ้นบนชั้นหินแข็ง ซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ชั้นทราย เพื่อป้องกันปัญหา การทรุดตัวของชั้นทราย ซึ่งจะมีผล กับความคงทนแข็งแรง ของโครงสร้างพีระมิด ผิวหน้าแต่ละด้านของ พีระมิดคูฟู ทำมุมเอียงประมาณ 52 องศา ซึ่งมีส่วนทำให้พีระมิด คงทนต่อการสึกกร่อน อันเนื่องมาจากพายุทราย
ตามที่มีข้อมูลปรากฏในแหล่งต่างๆ อ้างถึง จำนวนหิน ที่นำมาก่อสร้าง พีระมิดคูฟู ต่างกันไปตั้งแต่ 2 ล้านถึง 2.6 ล้านก้อน ประมาณน้ำหนักเฉลี่ยก้อนละ 2.5 ตัน โดยจัดเรียงซ้อนกันขึ้นไปประมาณ 200 ชั้น คิดเป็นน้ำหนักรวมกว่า 6 ล้านตัน
สิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือด้านทั้ง 4 ของพีระมิดหันออกในแนวทิศ เหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ถูกต้องแม่นยำตามทิศจริงไม่ใช่ตามทิศเหนือแม่เหล็ก จึงไม่ใช่การกำหนดทิศด้วยเข็มทิศ ตำแหน่งของพีระมิดนั้น คลาดเคลื่อนจากทิศเหนือเพียง 3 ลิปดา 6 พิลิปดา [1] แสดงถึงความสามารถของ ชาวอียิปต์โบราณ ในการประยุกต์ความรู้ทางดาราศาสตร์ มาใช้ในการกำหนดทิศทางได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้คนงานก่อสร้างพีระมิดคูฟูยังสามารถทำงานได้อย่างเที่ยงตรงน่าทึ่ง โดยหินตรงส่วนฐานของพีระมิดจัดวางได้เสมอกัน มีความคลาดเคลื่อน เพียงไม่ถึง 2.5 เซนติเมตร และแต่ละด้านของฐานพีระมิด มีความกว้างคลาดเคลื่อนจากกัน เพียงไม่เกิน 8 นิ้ว หรือคิดเป็นเพียง 0.09 % ซึ่งถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับขนาดงานก่อสร้าง และระดับเทคโนโลยีในขณะนั้น


2.สวนลอยบาบิโลน




                  สถานที่ตั้ง  :   กลางทะเลทราย เมืองเเบกเเดด ประเทศอิรัก
       
               สวนลอยแห่งบาบิโลนนับเป็นความรุ่งเรืองเกรียงไกรยิ่ง โดยเฉพาะตำนานของคริสเตียนได้มีข้อความที่กล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของสวยลอยแห่งนี้ไว้มาก กล่าวกันว่าบาบิโลนคือสถานที่แรกๆ ของบรรพบุรุษชาวโลกในกาลก่อน และยังมีบางส่วนที่กล่าวถึงบาบิโลนในฐานะที่เป็นหอคอบสูงที่มนุษย์ใช้สำหรับหลับภัยยามน้ำท่วมโลกก่อนที่จะพังทลายลง ปัจจุบันนักวิชาการต่างพยายามค้นคว้าข้อมูลและหาตำแหน่งที่แท้จริงของสถานที่ตั้งสวนลอยว่ามีอยู่จริงหรือไม่ แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบที่แน่ชัด
               สวนลอยบาบิโลน (อังกฤษ: Hanging Gardens of Babylon) จัดเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตั้งอยู่บนแม่น้ำยูเฟรติส ประเทศอิรักในปัจจุบัน สร้างโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 3 แห่งกรุงบาบิโลเนีย สร้างให้แก่มเหสีของพระองค์ชื่อพระนางเซมีรามีส สร้างขึ้นเมื่อ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช สุงประมาณ 75 ฟุต กินพื้นที่ 400 ตารางฟุต ระเบียงทุกชั้นได้รับการตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนพุ่มชนิดต่างๆ มีระบบชลประทานชักน้ำจากแม่น้ำไทกิสไปทำเป็นน้ำตกและนำไปเลี้ยงต้นไม้ตลอดปี ปัจจุบันสวนนี้ได้พังทลายไปหมดแล้ว
         สวนลอยที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายจึงเป็นเสมือนสรวงสวรรค์ที่งดงามและชุ่มชื้นท่ามกลางเปลวแดดอันร้อนระอุ พ่อค้าและผู้ที่เดินทางผ่านมาสามารถมองเห็นสวนลอยได้แต่ไกล เพราะเป็นสถานที่ที่ใหญ่โตมาก บ้างที่เดินทางฝ่าไอแดดท่ามกลางทะเลทรายมาไกลก็ได้อาศัยร่มเงาของสวนลอยเป็นที่พักพิงหลบร้อนให้หายเหนื่อยก่อนออกเดินทางต่อ เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะปัจจุบันสวยลอยแห่งนี้ได้พังทลายสูญหายไปแล้ว จากกิตติศัพท์ความงดงามอลังการของสวนลอยบาบิโลนจึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ได้อย่างไม่มีข้อกังขา


3.เทวรูปซูสที่โอลิมเปีย




สถานที่ตั้ง :เมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีซ

         เทวรูปซีอุสแห่งโอลิมเปีย ( The Statue of Zeus at Olympia ) เป็นสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ สิ่งหนึ่งของโลก คือ สร้างขึ้นประมาณ 2,400 ปีก่อน ระหว่งปี ค.ศ. 53 - 111 มีขนาดใหญ่กว่าคนปรกติถึง 8 เท่า พระหัตถ์ซ้ายทรงคทา พระหัตถ์ขวารองรับ รูปปั้นแห่งชัยชนะ   

         เทวรูปซีอุส ( Zeus บางคนเรียกว่า ซูส บางคนก็เรียกซีอุส ) ตั้งอยู่ที่วิหารในเมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีซสร้างขึ้นโดยปฏิมากรนาม ฟิดิแอส ( Phidias ) ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่สร้างวิหารพาเธนอน ในกรุงเอเธนส์ และสนามกีฬาโอลิมปิค    ตัวเทวรูปมีความสูง 40 ฟุต ทำจากงาช้างที่ตัดเป็นแผ่นบาง ๆนำมาต่อกัน ประดับด้วยทองคำและอัญมณีมากมาย หัตถ์ซ้ายทรงคทา หัตถ์ขวามีเทพีแห่งชัยชนะ  บัลลังค์ทำจากไม้     ซีดาห์แกะสลัก  พระบาทวางบนแท่นประดับด้วยสิงห์ทองคำ มีเรื่องเล่าว่าเมื่อเทวรูปสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วฟิดิแอส ได้อธิษฐานต่อองค์เทพซีอุสว่า "หากเทวรูปนี้เป็นที่พอพระทัยขององค์มหาเทพแล้ว ขอให้โปรดแสดงให้เห็นแก่ตาด้วยเถิด " แล้วก็เปรี้ยง! เกิดฟ้าผ่าดังไปทั่ววิหาร แสดงให้เห็นความพอพระทัยจากจอมเทพ ( ซึ่งจอมเทพซีอุสนั้นทรงสายฟ้าเป็นอาวุธ )  เป็นที่น่าเสียดายที่เทวรูปนี้ได้พังทลายจนไม่เหลือซากในปัจจุบัน สันนิษฐานว่าเกิดจากแผ่นดินไหวทำให้พังทลายลง บางหลักฐานกล่าวว่าถูกไฟเผา  คงเห็นภาพในเหรียญ ตราโบราณ และจากจินตนาการที่ได้มาจากคำบอกเล่า หรือ นิยายปรัมปราเท่านั้น แต่ความงาม ความใหญ่โตศักดิสิทธิ์ ยังคงเป็นที่ยกย่องเล่าลือมาจนถึงปัจจุบันนี้


4.วิหารอาร์ทิมิส




         
 • วิหารเทพีอาร์เทมิส (The Temple of Artemis) : • วิหารเทพีอาร์เทมิส ตุรกี เป็นวิหารสร้างด้วยหินอ่อน เลียบแบบศิลปะแบบกรีกโบราณ สร้างเพื่อถวายเทพเจ้าอาร์เทมีส หรือเทพเจ้าอารเตมิซ (เทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ของกรีก) ผู้มาจากสวรรค์ ผู้ช่วยชาวเมืองให้พ้นจากหายนะและภัยพิบัติได้ อยู่ในเมืองอีเฟซุสบนชายฝั่งแห่งหนึ่งปัจจุบันนี้ คือประเทศตุรกี ในรัชสมัยของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์แห่งกรีก จัดเป็นวัดที่สวยงามแห่งหนึ่งจนกลายเป็นที่รู้จักว่า เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคเก่า                            • วิหารเทพีอาร์เทมิสนี้มีเนื้อที่ถึง 54,720 ตารางฟุต ตัวอาคารมีความกว้างถึง 400 ฟุต บริเวณโดยรอบวัดแห่งนี้กิน เนื้อที่เกือบ 2 เอเคอร์ และมีเสาหินตั้งตระหง่านรอบตัวอาคารมากกว่า 100 เสาหิน แต่ละเสาหินมีเส้นผ่านศุนย์กลาง 6 ฟุต ความสูง 60 ฟุต หลังคาปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน ภายในโบสถ์เป็นที่ประดิษฐานเทพเจ้าชื่อว่า อาร์ทิมีส หรืออีกชื่อหนึ่ง ว่าไดอาน่า เป็นเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ สัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ ที่ชาวเอฟซุสเคารพและนับถือเป็นขวัญกำลังใจเป็นอย่างมาก จนพวกเขายกให้เป็นเทพธิดาประจำเมือง พร้อมทั้งสร้างวิหารเทพธิดาอาร์ทีมิสหลังแรกให้เมือ่ประมาณ 700 ปีก่อนคริสกาล ซึ่งปัจจุบันคือ บริเวณนอกเมืองเอเฟซุสเส้นทางจากเซลจุกไปเมืองคูซาดาซึ (Kushadasi) ประชาชนจะนำสิ่งของมาสักการะบูชา ส่วนมากเป็นสิ่งของมีค่ามากมาย                                         • หลังจากวิหารหลังแรกถูกทำลายและมีการสร้างวิหารขึ้นมาใหม่ราว 570 ปีก่อนคริสตกาล เป็นวิหารหินอ่อนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ใช้เวลาสร้างถึง 120 ปี โดยสถาปนิกในยุคนั้นออกแบบให้เลือกสร้างบนพื้นที่ชื้นแฉะ เพื่อลดแรงสั่นสะเทือนจากแรงแผ่นดินไหวที่เป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในสมัยนั้น• ต่อมาวิหารถูก ฮีโรสตราตัส (Herotratus) เผาทำลาย ในวันที่ 21 กรกฎาคม 256 ปี ก่อนคริสตกาล เพียงเพื่อต้องการให้ชื่อของตัวเองเป็นอมตะเท่านั้น ชาวเติร์กในยุคนั้นเชื่อว่า การที่เทพธิดาอาร์ทีมิสผู้ศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถรักษาวิหารไว้ได้ นักประวัติศาสตร์กรีก ในยุคนั้น ได้บันทึกเอาไว้ว่าเป็นเพราะวันที่วิหารโดนเผานั้น ตรงกับวันประสูติของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาเซโดเนีย เทพธิดาจึงมีภารกิจต้องไปจัดการให้การประสูติของพระองค์                                                                         • หลังจากนั้นชาวเมืองเอเฟซุสได้พยายามสร้างวิหารขึ้นใหม่ให้สวยงามและยิ่งใหญ่กว่าเดิม แต่ ในปี 330 ก่อนคริสตกาล ช่วงที่กำลังก่อสร้างอยู่นั้น พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้ยกทัพเข้าสู่อนาโตเลียและได้เสด็จมายังเอเฟซุส ได้เสนอแนะว่า พระองค์จะช่วยสร้างวิหารหลังนี้ต่อให้เสร็จ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากชาวเมืองเอเฟซุสไปว่า “มันไม่เหมาะที่เทพจะสร้างวิหารให้กับเทพด้วยกัน”                     • ต่อมาวิหารเทพีอาร์เทมิส ได้ถูกทำลายลงอีกครั้งโดยชาวกอธ (Goth) ในปี ค.ศ. 262 โดยไม่มีการบูรณะหรือสร้างวิหารอาร์ทีมิสขึ้นใหม่ เพราะชาวเมืองในยุคต่อมาได้หันมานับถือคริสต์แทนการนับถือเทพ นับเป็นการปิดฉากการก่อสร้างวิหารเทพธิดาอาร์ทีมิสลงอย่างถาวร เหลือแต่ซากปรักหักพังเก็บไว้ชมอยู่ในกรุงอิสตันบลู ประเทศตุรกี                                                                                       • ดินแดนแถบนี้หลังจากที่พวกกรีกหมดอำนาจลง,ยังมีพวกเปอเชียกับพวกมาเซโดเนีย(ยุคของอเล็กซานดรา) แล้วก็พวกโรมันเข้ามาครอบครอง.แต่ละชนชาติดังกล่าวให้ความเคารพและเพิ่มพูนสิ่งประดับประดาแก่วิหารของเทพอารเตมิซเรื่อยมา(มีโบราณวัตถุที่ขุดพบได้จากที่นี่ที่เป็นของยุคต่างๆในพิพิธภัณฑ์ของเมืองเอเฟซุส) เมื่อคริสต์ศาสนาเข้ามีอิทธิพลเหนือระบบเทพเจ้าหลายองค์(polytheism) วิหารนี้ถูกทำลาย เสาหินและหินก้อนใหญ่ถูกนำไปสร้างวหารเซนต์โซเฟียที่เมืองคอนสแตนติโนเปิลกับวัดของเซนต์จอห์นที่เมืองเซลสุค ใกล้เมืองเอเฟซุส


5.สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส




 สถานที่ตั้ง  : ฮาลิคาร์นัสเซิล  ประเทศตุรกี


สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส หรือ สุสานแห่งโมโซลูส เป็นสุสานขนาดใหญ่ของกษัตริย์โมโซลูสแห่งลิเชีย ในเอเชียไมเนอร์ จัดเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เป็นเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ  ตั้งอยู่ที่ฮาลิคาร์นัสเซิส ประเทศตุรกี ในปัจจุบัน        
 สุสานที่สร้างโดยผู้หญิง
สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิสเป็นอนุสรณ์แห่งความรักมีที่มาที่ออกจะแปลกสักหน่อย ปกติเรามักจะได้ยินว่าผู้ชายเป็นคนสร้างอนุสรณ์เพื่อแสดงถึงความรักที่มีต่อหญิงสาวคนรักผู้ล่วงลับ แต่ที่มาของสุสานนี้กลับกัน เพราะผู้หญิงเป็นฝ่ายสร้างให้ผู้ชาย ผู้สร้างคือ ราชินีอาเตมีสเซีย ซึ่งเป็นทั้งพระขนิษฐาและพระมเหสีของกษัตริย์มุสโซลูส กษัตริย์แห่งเอเชียไมเนอร์ หรือประเทศอิหร่านในปัจจุบัน เพื่อเป็นสิ่งก่อสร้างแทนความรักต่อพระสวามีซึ่งล่วงลับเมื่อ 353 ปีก่อนคริสต์ศักราช
สุสานหินอ่อน
สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิสสร้างจากหินอ่อน สูง 140 ฟุต ฐานมีพื้นที่ 460 ฟุต มีรูปปั้นสิงโตขนาบบันไดที่ทอดไปสู่สุสาน สุสานรายล้อมด้วยรูปปั้นนักรบบนหลังม้า โดยมีเสาหินจำนวน 36 ต้น เป็นฉากหลัง หลังคาเป็นรูปทรงพีระมิด มีกษัตริย์มุสโซลูส และราชินีอาเตมีสเซีย ประทับยืนอยู่บนราชรถม้าซึ่งกำลังวิ่ง แต่ราชินีอาเตมีสเซียไม่มีโอกาสได้เห็นสุสานที่เสร็จสมบูรณ์ เพราะสิ้นพระชนม์เมื่อ 350 ปีก่อนคริสต์ศักราช
พังทลายจากภัยธรรมชาติ
ภายหลังเมื่อก่อสร้างสุสานเสร็จ พระศพของกษัตริย์มุสโซลูส และราชินีอาเตมีสเซียก็ได้ประทับเคียงกันในสุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส แต่เมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ช่วงศตวรรษที่ 13 ก็ทำให้สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิสพังทลาย ซ้ำชิ้นส่วนต่างๆ ยังถูกนำไปสร้างป้อมหรือสิ่งก่อสร้างต่างๆ ปัจจุบันยังคงหลงเหลือซากชิ้นส่วนบางชิ้น โดยเก็บรักษาไว้ในบริติชมิวเซียม ในประเทศอังกฤษ

6.มหารูปแห่งโรดส์




          มหารูปแห่งโรดส์ (อังกฤษ: Colossus of Rhodes) เป็นเทวรูปขนาดใหญ่ของเทพเฮลิออส หรือ อพอลโล เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก จัดอยู่ในยุคเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ ร่วมสมัยกับประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย
          มหารูปแห่งโรดส์สร้างมาจากสำริด เป็นเทวรูปของสุริยเทพอพอลโล ซึ่งเป็นหนึ่งในเทวสภาโอลิมปัส มีความสูงประมาณ 100 ฟุต (30 เมตร) มือขวาถือประทีป ประดิษฐานบนฐานทั้งสองข้างของปากอ่าวทางเข้าท่าเรือของเกาะโรดส์ ในทะเลอีเจียน ยืนถ่างขาคร่อมปากอ่าวให้เรือลอดไปมาได้
          มหารูปนี้สร้างขึ้นโดย ชาเรสแห่งลินดอส ซึ่งเป็นประติมากรชาวกรีก ในราว 280 ปี ก่อนคริสตกาล ใช้เวลาสร้างประมาณ 12 ปี มีอายุยืนอยู่ได้ประมาณ 60 ปี ก่อนจะพังทลายลงด้วยแผ่นดินไหวครั้ง ใหญ่ เมื่อ 226 ปี ก่อนคริสตกาล ซากชิ้นส่วนของมหารูปได้ถูกปล่อยปละละเลยไม่มีใครดูแล จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ซากที่เหลืออยู่ถูกขายให้แก่ชาวเมืองซาราเซน ไปทำอาวุธในการทำสงครามครูเสดจนหมด จนถึงปัจจุบันไม่มีเหลือซากของมหารูปนี้หลงเหลืออยู่แล้ว

7.ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย




สถานที่ตั้ง :เกาะฟาโรส เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์

             ประภาคารนี้ทำด้วยหินอ่อนสีขาวสลักลวดลาย วิจิตรงดงาม ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ท่าเรือของเกาะฟาโรส สร้างในสมัยพระเจ้าปโตเลมีที่สองของอียิปต์ช่วงปี 270 ปีก่อนคริสตกาล ออกแบบโดยสถาปนิกชาวกรีกชื่อโซสตราโตส

          ตามหลักฐานคาดว่าประภาคารนี้สูงประมาณ 134 เมตร ช่วงล่างเป็นรูปสี่เหลี่ยม ช่วงกลางเป็นรูปแปดเหลี่ยม และช่วงบนเป็นทรงกลม ยอดบนสุดของประภาคารนี้ มีภาชนะสำหรับใส่ถ่าน ซึ่งลุกโชติช่วงทั้งวันทั้งคืนเพื่อเป็นไฟสัญญาณไฟบนยอดประภาคารนี้เห็นได้ ไกลในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนถึง 40 กิโลเมตร และช่วงบนมีกระจกขนาดใหญ่ ตามตำนานเล่าขานกันมา กระจกนี้สะท้อนเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในกรุงคอนสแตนติโนเปิล ข้ามไปจนถึงภาคตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและเอเชียไมเนอร์

         ยังมีการเล่าต่อกันมาอีกว่ากระจกนี้ยังมีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชสำคัญสะท้อนแสงอาทิตย์ไปเผา เรือศัตรูในทะเล เพราะเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาเหล่านี้ ทำให้ประภาคารแห่งเมืองอเล็กซานเดรียนี้มีชื่อเสียง เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก แม้ว่าไม่ใช่ประภาคารแห่งแรกในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแต่ก็เป็นอันที่ใหญ่ที่สุด ประภาคารนี้ได้ชื่อมาจากชื่อเกาะที่มันตั้งอยู่ คือ ฟาโรส และกลายมาเป็นชื่อเรียกประภาคารในภาษาต่าง ๆ

               ประภาคารฟาโรสตั้งตระหง่านนำทางสัญจรของเรือเข้าสู่เมืองอเล็กซานเดรียมาเป็นเวลา 9,000 ปี จนกระทั่งพวกอาหรับเข้ายึดครองเมือง ประภาคารก็ถูกรื้อทิ้งไป เล่ากันมาว่าพวกอาหรับถูกสายลับซึ่งจักรพรรดิแห่งคอนสแตนติโนเปิลส่งมาหลอกลวงให้ทำลายประภาคารเสีย เพื่อไม่ให้ใช้มันเป็นประโยชน์ในการเดินเรือของพวกมุสลิม สายลับอ้างว่าข้างใต้ประภาคารมีขุมทรัพย์ฝังอยู่ แต่หลังจากประภาคารถูกทำลายไปแล้วพวกอาหรับถึงตระหนักว่าเสียรู้ ในช่วงนั้นกระจกขนาดใหญ่ก็หล่นร่วงลงมาและแตกละเอียดเป็นผุยผง มีบางส่วนของประภาคารหลงเหลือ และส่วนนี้ก็ยังคงมีอยู่ให้เห็นจนปี ค.ศ. 1375 จนแผ่นดินไหวในเมืองอเล็กซานเดรีย ทำให้ประภาคารแห่งนี้พังทลายลงมาจนสิ้นซาก



ที่มา : วิกิพีเดีย และเว็บไซต์ต่างๆ




















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น